ธนารักษ์ เดินหน้าท่อส่งน้ำอีอีซี ชี้ วงษ์สยามก่อสร้าง ให้ประโยชน์รัฐสูงสุด

กรมธนารักษ์ยัน บอร์ดที่ราชพัสดุ เห็นแก่ประโยชน์ต่อรัฐ อนุมัติ ”วงษ์สยามก่อสร้าง” เดินหน้าโครงการท่อส่งน้ำอีอีซี ไม่รอผลตัดสินคำร้องของศาลปกครอง ชี้แม้ศาลจะสั่งระงับและถูกอีสวอเตอร์ฟ้องกลับ แต่ค่าเสียหายจะไม่ถึง 1.5 พันล้าน

วันที่ 16 มีนาคม 2565 นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ถึงกรณีคณะกรรมการที่ราชพัสดุที่มีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน มีมติเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา ให้บริษัท วงษ์สยาม ก่อสร้าง จำกัด ผู้ชนะการประมูลโครงการท่อส่งน้ำภาคตะวันออกในเขตอีอีซีสามารถเดินหน้าโครงการดังกล่าวได้ โดยไม่รอการพิจารณาของศาลปกครองที่มีคำร้องคัดค้านผลการประมูลของบริษัท อีสวอเตอร์ จำกัด(มหาชน)

โดยนายประภาศ กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาถึงผลประโยชน์ต่อรัฐเป็นที่ตั้ง และ ไม่กังวลว่า ทางบริษัทอีสวอเตอร์ สามารถดำเนินการฟ้องร้องต่อกรมได้ หากศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการประมูล ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ทางอีสวอเตอร์ได้ยื่นต่อศาลให้คุ้มครองชั่วคราวต่อผลการประมูลอีกครั้ง โดยขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน ซึ่งศาลจะนัดพิจารณาอีกครั้ง 18 มี.ค.นี้

“เราไม่ได้เกรงในจุดที่จะมีการฟ้องร้องจากอีสวอเตอร์ เพราะเราดูผลประโยชน์ของรัฐที่จะได้รับในวันที่ลงนามสัญญา กับ วันที่ส่งมอบทรัพย์สินกับทางวงษ์สยามก่อสร้าง ซึ่งรวมแล้วจะได้เม็ดเงินประมาณ 1.5 พันล้านบาท”

ทั้งนี้ ต้องเรียนว่า ที่ผ่านมา บริษัทอีสวอเตอร์จ่ายค่าตอบแทนให้รัฐทั้งหมดตลอดระยะเวลาถึงปัจจุบันแค่ 550 ล้านบาท เราก็มาคำนึงถึงว่า เมื่อเราแพ้คดีจริงๆ เข้าใจว่า ศาลคงไม่ชดใช้ค่าเสียหายถึงขนาด 1.5 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะต้องมาพิสูจน์ความเสียหายตามหลักความรับผิดทางละเมิดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นของอีสวอเตอร์จากกรณีไม่ได้โครงการนี้มีอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นไปตามกระบวนกฎหมายแพ่งที่ต้องพิสูจน์ว่า ความเสียหายที่แท้จริงคืออะไร

“เราก็คาดหวังว่า ความเสียหายไม่น่าจะถึงขนาดนั้น และก็ประเมินความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับ ถ้าเกิดชะลอและความล่าช้า ความรับผิดอาจมาอยู่ที่คณะกรรมการกรมธนารักษ์ เพราะละเลยไม่ดำเนินการทำให้รัฐได้เงินล่าช้า”

ทั้งนี้ หากกรมลงนามในสัญญาทันทีกับบริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง ณ วันนี้ ก็จะได้เงิน 1,500 ล้านบาท อย่างที่เรียน ถ้าชะลอไป รัฐก็เสียหาย อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ได้กำหนดวันเซ็นสัญญา เพราะต้องรอขั้นตอนคำแนะนำจากอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการส่งมอบทรัพย์สิน

“ยังมีประเด็นที่สำคัญ คือ ก่อนลงนามในสัญญา จะต้องตรวจสอบบัญชีรายการทรัพย์สินก่อนที่จะมีการส่งมอบและบัญชีรายการทรัพย์สินจะต้องเป็นหนึ่งในภาคผนวกของสัญญา ซึ่งกรมก็จะดำเนินการตามขั้นตอน คือ แจ้งไปยังวงษ์สยามและอีสวอเตอร์ เพื่อเตรียมการในการส่งมอบทรัพย์สิน”

ทั้งนี้ กรณีที่อีสวอเตอร์ระบุว่า จะไม่มีการแจกแจงทรัพย์สินและส่งมอบ โดยอ้างมติครม.ที่ได้ให้สิทธิในการบริหารจัดการท่อส่งน้ำในอีอีซีเพียงผู้เดียวนั้น เรื่องนี้ เป็นหนึ่งในข้อต่อสู้ในศาลฯเช่นกัน แต่กรมได้ประเมินมติครม.ดังกล่าวแล้ว โดยมติครม.ปี 2535 ได้ตั้งอีสวอเตอร์เพื่อบริหารจัดการน้ำ ซึ่งตอนนั้น มีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ และ มีการลงนามในสัญญาที่จะหมดปีหน้า(โครงการที่ 1)

ซึ่งต่อมาในปี 2539 บริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทุน ทำให้พ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ และได้มีการเสนอโครงการขึ้นมาใหม่ คือ เส้นหนองท้อ และ หนองปลาไหล เพื่อจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย แต่ต้องเข้าพ.ร.บ.ร่วมทุน จึงได้เสนอครม.เพื่อขอยกเว้นการประมูลเพื่อให้บริษัทเดินโครงการต่อ ครม.มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการ โดยให้ส่วนราชการดำเนินการต่อตามกฎหมาย

นายประภาศ กล่าวว่า ต่อมา เมื่อเสนอเข้าพ.ร.บ.ร่วมทุน ก็มีข้อสังเกตจากครม.ว่า ให้พิจารณาด้วยว่า การให้เอกชนรายเดียว จะขัดต่อนโยบายรัฐวิสาหกิจหรือไม่ เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า อีสวอเตอร์ได้รับความคุ้มครองโดยมติครม.หรือไม่ ตนยังไม่เห็นว่า มีคำตอบที่ชัดเจนที่มีข้ออ้างกันว่า จะหมดสัญญาปี 2570 นั้น ไม่มี

“ต้องไล่มติครม.ทุกฉบับว่า เจตนาที่แท้จริงคืออะไร และผมก็เรียนว่า มติครม.นั้น มีอยู่ 3 อย่าง คือ 1.มติครม.ที่เป็นนโยบาย 2.มติครม.ที่มีสถานะคำสั่งทางปกครอง และ 3.มติครม.ที่มีสถานะเป็นกฎ เรามาดูไล่เลียงแล้ว เป็นมติครม.เชิงนโยบาย เพราะว่า ไม่มีสถานะเป็นกฎหรือคำสั่ง ถ้ามีสถานะดังกล่าวจะต้องอาศัยอำนาจตามกฎหมาย”

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance