VNG อวดผลงานปี 64 ท็อปฟอร์ม โบรกฯ ชี้เป้า 12.90 บาท

โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” วนชัย กรุ๊ป ชี้เป้าหมาย 12.90 บาท อัปไซด์เพียบเมื่อเทียบกับราคาในกระดาน หลังโชว์ผลงานปี 64 แกร่งสะท้านปฐพี คาดปี 65 โตต่อเนื่อง พร้อมอัปเป้ากำไรเพิ่มเป็น 1,495 ล้านบาท จากเดิมคาดอยู่ที่ 1,332 ล้านบาท หลังเดินหน้าขยายกำลังการผลิต ขยายฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 10-15 ประเทศ ดันยอดขายโตทะลัก ผู้บริหารมั่นใจรายได้ปี 65 โตเกิน 20% ตามนัด

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ออกบทวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (VNG) ให้ราคาเป้าหมายที่ 12.90 บาท โดยระบุว่า ผลกำไรไตรมาส 4/64 ออกมาดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดเนื่องจากบริษัทฯ สามารถจัดหาเรือ Bulk ขนส่งสินค้า Particle Board จากประเทศเกาหลีที่ตกค้างมาจากไตรมาสก่อน ในระยะถัดไปปี 2565 จะมีอัตราการใช้กำลังการผลิต MDF และ PB รวม 10 Line เต็มกำลังในช่วงไตรมาส 2/65 และขยายฐานลูกค้า OSB เพิ่มเป็น 10-15 ประเทศ จาก 3-4 ประเทศ พร้อมกับปรับราคาขาย OSB เพิ่ม จากอัตราการใช้เครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ยอดขายเติบโต 10% จากประมาณการเดิม ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 จากเดิม 1,332 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1,495 ล้านบาท ประเมิน FV โดยอิง PER 15 เท่า

แนวโน้มผลประกอบการในปี 2565 ของบริษัทฯ เติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ผลิตสินค้า OSB Lot ใหญ่ เพื่อเกิดความประหยัดต่อขนาดในการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก VNG ส่งออกเพียง 3-4 ประเทศ ส่งผลให้มีอำนาจการต่อรองค่อนข้างต่ำ ในระยะถัดไป VNG จะขยายฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 10-15 ประเทศ จะทำให้ VNG สามารถปรับราคาขายได้มากขึ้น พร้อมกับมีการแก้ไขคอขวดในกระบวนการผลิต ซึ่งจะเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตจาก 60% ในปัจจุบัน เป็น 100% ภายในไตรมาส 2/65 ส่วนสินค้า MDF และ PB ที่มีทั้งหมด 7 และ 3 Line การผลิต จะมีอัตราการใช้กำลังการผลิต 100% ตั้งแต่ไตรมาส 2/65 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 2/65 VNG จะผลิตและจำหน่ายแผ่นไม้อัด Concrete Forming Plywood ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้ margin สูง เน้นทำการตลาดทดแทนการนำเข้าไม้อัดจากต่างประเทศ สร้างรายได้สูงสุด 900 ล้านบาท/ปี

ขณะเดียวกัน ยังมองว่าโครงการที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2564 มีความคืบหน้าชัดเจน โดยโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 9 MW เริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตั้งแต่กันยายนปี 64 สามารถประหยัดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ปีละ 120 ล้านบาท โรงการโซลาร์รูฟท็อป ขนาด 9.3 MW ปี 64 มีการเดินเครื่องระยะเวลาครึ่งปีสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ 25 ล้านบาท ฝ่ายวิจัยคาดว่าปี 65 จะลดค่าใช้จ่ายได้ 50 ล้านบาท และช่วงครึ่งหลังปี 65 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 3.4 MW ซึ่งจะส่งผลให้ประหยัดค่าไฟเพิ่มขึ้นในปี 66

โรงงานผลิต Super Particle Board (SPB) ปัจจุบันโรงงาน Particle Board ที่สุราษฎร์ธานีมี 3 Line การผลิต โดย VNG ปรับปรุง 1 Line การผลิตให้เห็น SPB ซึ่งให้ราคาขายสูงกว่า Particle Board แบบธรรมดา 15-20% สามารถดำเนินการผลิตช่วงต้นปี 65 โดย VNG มีแผนที่จะรุกตลาดจีน เนื่องจากจีนมี Demand การใช้ SPB สูง

ในส่วนของ Logistic ในอดีต VNG ว่าจ้างบริษัทขนส่งภายนอกซึ่งใช้รถเทรลเลอร์ 1,000 คัน อย่างไรก็ตาม VNG เล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากค่าขนส่งจึงดำเนินการลดค่าขนส่งโดยใช้รถเทลเลอร์ ของ VNG 100 คัน และเลือกจัดสรรรถที่รับส่งสินค้าได้ 2 เที่ยว ประกอบด้วย 1.ขนส่งกาวจากระยองไปโรงงาน Particle Board และ MDF ที่สุราษฎร์ธานี 2.ขนส่งสินค้าที่ผลิตโรงงานสุราษฎร์ธานีกลับมาขายที่กรุงเทพฯ

และในส่วนของ warehouse เป็นพื้นที่โกดังเก็บสินค้าขนาด 124,000 ตร.ม.สามารถเก็บสินค้าได้มากถึง 400,000 ลบ.ม. มีวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการด้านจำหน่ายและจัดส่งสินค้าทั้งในและต่างประเทศ

นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วนชัยกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (VNG) มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2565 จะเข้าสู่โหมดของการเติบโตต่อเนื่อง จาก New Growth Drivers ที่จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรเติบโต 20% ประกอบด้วย โรงงานผลิตแผ่น OSB ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิต 210,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยจับกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ขณะที่โรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังการผลิต 9.9 MW ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเดินเครื่องการผลิตแล้ว โดยใช้เปลือกไม้ และฝุ่นไม้ที่เหลือใช้จากการผลิต ช่วยประหยัดต้นทุนค่าไฟฟ้า โดยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ปีละ 120 ล้านบาท นอกจากนี้ โรงงานไม้อัด (Plywood) ขนาดกำลังการผลิต 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี พร้อมเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 2/65 ซึ่งเน้นทำการตลาดทดแทนการนำเข้าไม้อัดจากต่างประเทศ มูลค่า 8,000 ล้านบาท/ปี

อีกทั้งยังมีแผนขยายกำลังการผลิตโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มเป็น 12.7 MW ในปี 2565 จากปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 9.3 เมกะวัตต์ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายการผลิตให้บริษัทฯ ได้ราว 50 ล้านบาทต่อปี และยังได้รับการสนับสนุนจาก BOI

รวมไปถึงโรงงาน Super Particle board ก็พร้อมเดินเครื่องผลิตในต้นปี 2565 เช่นเดียวกัน ซึ่งถือเป็นสินค้า wood-based panel เจเนอเรชันใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกสูง และบริษัทฯ มีแผนกลับไปบุกตลาดจีนอีกครั้ง หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย

ส่วน “วนชัย โลจิสติกส์” ซึ่งจัดตั้งใหม่ขึ้นมา เพื่อประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้า และ Warehouse ให้กลุ่มบริษัทฯ ซึ่งจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาส 2/65 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งสินค้าของบริษัทในกลุ่ม เพิ่มช่องทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม

ขณะที่ “วนชัย วู้ดสมิธ” จะเริ่มกลับมาบุกตลาด retail ทั่วประเทศอีกครั้ง หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง ช่วยผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket